เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมเพื่อพัฒนาหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรานะ หัวใจของเราจะเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเราไง มันเป็นประโยชน์กับเราคือว่ามันมีธรรมโอสถ ธรรมโอสถรักษาหัวใจของเรา ถ้ารักษาหัวใจของเรา
ทางโลกเขาๆ เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แล้วก็ปรารถนาใช่ไหม เราอยากจะเป็นคนดี เราอยากให้คนรอบตัวของเราเป็นคนดี คนดี อะไรเป็นเครื่องหมายของความเป็นคนดีล่ะ
ถ้าทางธรรม กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี แล้วถ้าคนดีขึ้นมาแล้วมันดีของใคร ถ้าดีของกิเลส ดีของกิเลสมันแย่งชิงของมัน มันว่าเป็นประโยชน์กับมัน มันเป็นคุณงามความดีของมัน เพราะมันสมความปรารถนาของมันไง เพราะกิเลสมันแผดเผา สิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยอกุศล ได้มาด้วยบาปกรรม สิ่งที่ได้มาด้วยบาปกรรม ได้ใช้ชีวิตในชาติปัจจุบันนี้ แต่เวรกรรมที่มันสร้างมาๆ อันนั้นน่ะมันจะติดหัวใจนั้นไป
แต่ถ้าเป็นบุญกุศล บุญกุศลได้มาด้วยคุณงามความดี ได้มาด้วยคุณงามความดี ชีวิตนี้ผ่องใส ชีวิตนี้แจ่มใส ความแจ่มใสขึ้นมา คุณงามความดีอันนั้นส่งเสริมขึ้นมาเป็นคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดี
คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ นะ เวลามีกายกับใจขึ้นมา ร่างกายเวลามันอ้วนเกินไป เขาต้องไปลดความอ้วน แต่ร่างกายถ้ามันผอมแห้ง ผอมแห้ง เด็กที่ขาดสารอาหาร เราเห็นแล้วเราก็เศร้าใจใช่ไหม เราก็อยากจะช่วยเหลือเจือจานเขาทั้งนั้นน่ะ ความช่วยเหลือเจือจานขึ้นมา เห็นไหม
อ้วนเกินไปก็ใช้ไม่ได้ เขาก็ต้องลดของเขา ผอมเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ผอมเกินไปมันก็จะดำรงชีพด้วยความไม่แข็งแรง ความพอดี ความพอดี แล้วความพอดีของใครล่ะ ความพอดีของใคร
ความพอดี คนที่เขาเป็นนักกีฬา ร่างกายเขาต้องแข็งแรง เขาจะต้องดูแลร่างกายเขาให้แข็งแรงกว่าคนปกติ ไอ้ของเราเป็นปกติ เราเป็นปัญญาชน เราใช้คิดงานๆ เราใช้สมองทำงานไง เราไม่ได้ใช้กำลังทำงาน กำลังทำงานสิ่งที่เป็นจริงๆ
คนเราถ้าร่างกายสุขภาพแข็งแรง มันลุกนั่งแข็งแรง มันสุขสบาย ไปไหนมันก็สะดวกนะ เราใช้สมองทำงาน เราไม่ได้ใช้ร่างกายทำงานนะ เวลาชราคร่ำคร่าขึ้นมา ลุกก็โอย นั่งก็โอย ทุกอย่างโอยหมด นี่พูดถึงร่างกายนะ
จิตใจ จิตใจถ้ามันคิดมากเกินไป เวลามันคิดมากเกินไป เวลาร่างกายของคนอ้วนท้วนเกินไปเขาต้องลดความอ้วนของเขา ไอ้จิตใจที่มันคิดมากเกินไป ฟุ้งซ่านเกินไป นี่หาเรื่องให้กับหัวใจของตนไง เวลาคิดมากเกินไปไง
บางคนคิดไม่เป็น คิดไม่ได้ ไม่คิดเลย มันไม่คิดเลย มันซึมเศร้า มันก็ใช้ไม่ได้ ถ้ามันใช้ไม่ได้ เห็นไหม ฟังธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนอยากเป็นคนดี แล้วก็อยากให้รอบข้างของเราเป็นคนดี คนดีของเราก็มีศีลมีธรรมไง ถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมา สิ่งที่เป็นคุณธรรมๆ ในหัวใจ ถ้าคุณธรรมในหัวใจ
ถ้ามันคิดมากเกินไป คิดมากเกินไป เห็นไหม คนเกิดมาต้องมีการศึกษา ศึกษามาเพื่อเป็นวิชาชีพ ถ้าเป็นวิชาชีพขึ้นมา เอาไว้ทำหน้าที่การงาน นั่นเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลกๆ เขา
ถ้าปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร วันมาฆบูชา ไม่ทำชั่วใดๆ ทั้งสิ้น ทำแต่คุณงามความดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ไม่ทำชั่วใดๆ ทั้งสิ้น
เวลามันคิดนี่มันดีหรือชั่ว มันจริงหรือเท็จ เวลาเราคิด ความคิดของเรา นี่ไง ถ้ามันมีสติปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในกองสังขาร คนเราเกิดมา ประสบการณ์การทำงาน คนทำงานที่มีประสบการณ์แล้ว เขาซื้อตัวกันเพื่อเอาไปบริหารธุรกิจของเขา
จิตใจของเรามันยังไม่มีประสบการณ์สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีประสบการณ์สิ่งใดทั้งสิ้นมันก็ไปติดป้ายไว้ๆ ติดป้ายให้ความคิดไว้ไง ความคิดไอ้นั่นเป็นไอ้นั่น ความคิดไอ้นี่เป็นไอ้นี่ มันไม่มีอะไรเป็นความจริงสักอย่าง เพราะอะไร เพราะไม่มีชั่วโมงบินไง ไม่มีประสบการณ์การทำงานไง
ถ้ามีประสบการณ์การทำงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบุกสมบันมาขนาดไหน ๖ ปี ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เวลาอาฬารดาบส อุทกดาบส “มีความรู้เสมอเรา มีความรู้เสมอเรา”
เจ้าชายสิทธัตถะไม่สนใจเลย เพราะความจริงในหัวใจเรารู้ มีชั่วโมงบิน สิ่งนี้มันไม่เป็นความจริงๆ มันก็ไม่เป็นความจริงวันยังค่ำ ถ้าไม่เป็นความจริงวันยังค่ำ กลบเกลื่อนไว้ขนาดไหนเดี๋ยวมันก็ฟูออกมา สิ่งใดที่มันเป็นความจริงมันอยู่ในหัวใจ ถ้ามีชั่วโมงบินแล้วมันจะรู้ของมัน ไม่ต้องไปติดป้าย
ไอ้ของเราความคิดมากเกินไปก็ติดป้ายเลย ความคิดไอ้นั่นเป็นไอ้นั่น ความคิดอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ไปติดป้ายมัน ไม่จริงสักอย่าง เพราะปัญญาในพระพุทธศาสนาคือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้เท่าทันในความคิดของตน ความคิดของตน ถ้ามันคิดมากเกินไป คิดมากเกินไปมันอ้วนท้วนเกินไป คิดมากเกินไป คิดมากเกินไปมันก็ไม่ถูก ถ้าคิดไม่เป็น ไม่คิดเลยมันก็ไม่ถูก มันไม่ถูกๆ ไม่ถูกอะไร ไม่ถูกในธรรมไง แต่มันถูกอะไร ถูกกับกิเลสไง ถูกกับความล่อลวงไง ถูกกับสิ่งที่มันยั่วเย้าในหัวใจไง มันเคลิบเคลิ้ม
เวลาจินตนาการไปนะ เวลาคนที่ผิดปกติเขานั่งคิดทั้งวัน เขานั่งคิดทั้งวัน เขาเพ้อเจ้อทั้งวัน เขานั่งคุยคนเดียว นั่นไง เขาคิดทั้งวันของเขา เขาเรียกขาดสติไง ทั้งๆ ที่เขาก็มีจิตเหมือนเรานี่แหละ
แต่เรามีสตินะ เรามีจิตเหมือนกัน แล้วจิตเหมือนกันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดในชาติปัจจุบันนี้เราจะได้ชื่อนาย ก นาย ข นาย ง ก็แล้วแต่ จิตใจดวงนี้เกิดซ้ำเกิดซาก เวลาเกิดซ้ำเกิดซากขึ้นมา เพราะการเกิดซ้ำเกิดซากขึ้นมามันถึงมีจริตนิสัย คำว่า “จริตนิสัย” การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะคือพันธุกรรมของจิต
พันธุกรรม พันธุ์พืชเขาตัดแต่งของเขา เขาบำรุงรักษาของเขา รักษาสายพันธุ์ของเขา ไอ้จิตดวงนี้เวลามันตัดแต่งด้วยเวรด้วยกรรมไง กรรมดี กรรมชั่ว
กรรมดี กรรมชั่วนะ เทวทัตกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่เป็นพ่อค้าเร่ด้วยกัน แล้วจะไปได้ถาดทองคำ ฝังใจตั้งแต่นั่น กำทรายขึ้นมา ๑ กำมือ เวลากำทรายขึ้นมา จะจองล้างจองผลาญทุกภพทุกชาติ ทุกภพทุกชาติ จะแก้แค้นทุกภพทุกชาติ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนมาชาติสุดท้าย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง เทวทัต ตั้งแต่นั้นมา พันธุกรรมของมันๆ ตัดแต่งมาด้วยอะไร
ตัดแต่งมาด้วยคุณงามความดี ตัดแต่งมาเพื่อเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้นั่นจะแก้แค้นทุกภพทุกชาติ ได้ตามทำลายล้างกันมาตลอดทุกภพทุกชาติ การทำลายล้างทุกภพทุกชาติ
แต่การทำลายล้างนั้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหม มันต้องมีฌาน มีสมาบัติ มีการกระทำ เทวทัตเขาจะตามล้างทุกภพทุกชาติ เขาก็ต้องตั้งใจ ทำจิตใจของเขา สุดท้ายแล้วเขาสำนึกได้ เขาสำนึกได้จะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่ได้หรอก เทวทัตไม่ได้เจอเราหรอก เทวทัตไม่ได้เจอเราหรอก”
แต่ด้วยสามัญสำนึกคนที่คิดได้ มาถึงเชตวันแล้วจะขอลงไปทำความสะอาดร่างกายไง จากแคร่ที่หามกันมา พอลงถึงดิน ธรณีสูบไปเลย
คำว่า “ตัดแต่งพันธุกรรม” สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันตัดแต่งๆ ตัดแต่งด้วยเวรด้วยกรรม ตัดแต่งด้วยความพอใจของเราไง ด้วยบุญกุศล ด้วยบาปอกุศลที่เราทำนี่ไง ที่เราตั้งใจทำๆ นี่แหละ นี่แหละมันซับลงที่ใจ ซับลงที่ใจทั้งนั้นน่ะ แล้วมันย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตจนเป็นนิสัย นี่ไง แต่ย้ำคิดย้ำทำไม่ใช่ในชาตินี้ มันมากี่ภพกี่ชาติล่ะ
ในพระไตรปิฎกนะ เวลาพระที่ปฏิบัติแล้วฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ พระมันก็แปลกใจนะ เราปฏิบัติเกือบตายไม่เห็นได้อะไร ทำไมพระองค์นั้นฟังหนเดียวเท่านั้นแหละ ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นเช่นนั้น
โอ้โฮ! มันไม่ใช่เป็นชาตินี้ มันเป็นเพราะเขาสร้างมาอย่างนั้นๆๆ ตั้งแต่บัดนั้นจนมาถึงบัดนี้
เวลาพระที่เกเรเกตุงนะ พระที่มาทำลายล้างนะ ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมพระมันเลวทรามขนาดนั้น มันกลั่นแกล้งเขาไปทั่ว มันทำลายเขาไปทั่ว
โอ้โฮ! มันไม่ได้เป็นแต่ชาตินี้ มันเป็นมาตั้งแต่อดีตชาติ ชาตินั้นเขาเคยทำลายนั้น ทำลายมาตลอด
นี่พันธุกรรมของจิตๆ ที่มันได้ตัดแต่งกันมาใช่ไหม ถ้ามันตัดแต่งกันมา ในปัจจุบันนี้เราพยายามข่มขี่ไว้ ความคิดที่ไม่ดีๆ รู้อยู่ ถ้ามันคิดก็ฟืนก็ไฟไง ดูสิ จุดไฟเผาป่าๆ หาของป่ากัน หาของป่า จะยิงสัตว์ป่า
เวลามันจุดไฟเผาป่ามันเดือดร้อนชีวิตป่า สัตว์ป่าทั้งหมดต้องวิ่งหนี นกต้องบินหนีจากไฟนั้น ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากฝุ่นละออง ชาวบ้านได้รับผลกระทบเพราะด้วยความคิดว่าตัวเองจะเอาสะดวกสบาย จะล่าสัตว์ ตัวเองจะเอาของป่า นี่ไง เวลามันคิด เวลาคิดคนเดียวแล้วมันกระทบกระเทือนเขาไปทั่ว
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันคิด ถ้ามันอ้วนท้วนเกินไป กิเลสมันยุแหย่มากเกินไปนั่นน่ะ ต้องมีสติปัญญายับยั้งมันไว้ ปัญญาเราต้องฝึกหัดไง
ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญาในพระพุทธศาสนา ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารนี้ในพระปฏิบัติเราแยกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งคือสังขารร่างกาย
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มรดกตกทอด “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ด้วยความไม่ประมาท ไม่เลินเล่อ แล้วสังขารนี้กับสังขารร่างกาย พิจารณากายก็ได้ สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งก็ได้ นี่ไง เพราะสังขารมันตีไปได้ทั้งนามธรรม กับสังขารในขันธ์ ๕
ถ้าตีเป็นรูปธรรม สังขารก็คือร่างกายเรานี่ ธาตุ ๔ รูปร่างกายเราที่เกิดมาแล้วชราคร่ำคร่า เรามีสติมีปัญญาคอยพินิจพิจารณาดูความชราคร่ำคร่าอันนี้ด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าด้วยสติด้วยปัญญานะ ถ้าทำความสงบของใจแล้ว เวลามันเห็นกาย ถ้ามันเห็นกายโดยการวิปัสสนานะ มันจะเป็นไตรลักษณ์ มันจะรวดเร็วด้วยกำลังของมัน ปั๊บๆๆ
ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพิจารณากายของท่าน เวลาพิจารณาร่างกายให้มันอืด ให้มันพอง ให้มันสูญสลายกันไป พอสูญสลายไปแล้ว มันด้วยกำลังของสมาธิ ด้วยกำลังของปัญญานะ ทุกอย่างสมความปรารถนาหมด มันแปรสภาพ มันเป็นไตรลักษณ์ให้เห็นต่อหน้าเลย แต่มันเหลือแต่กระดูก สิ่งที่เป็นของคมแข็งไว้ ท่านก็บอกว่าให้พิจารณาให้เป็นดิน ดินกลบพับๆ
เวลาท่านพูดนะ ท่านพูดเพราะอะไร เพราะท่านทำเอง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกท่านรู้เอง แล้วผู้ที่ปฏิบัติไป ถ้าปฏิบัติไปรู้เท่าทันมันจะรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้ามันรู้เห็นอย่างนั้นไง
นี่ไง เราจะมาพิจารณาความชราคร่ำคร่า ต้องใช้อายุ ๙๐ ปี นั่งดูมันตั้งแต่เด็ก ดูมันแก่เฒ่าไปนั่นน่ะ อันนี้มันเป็นเรื่องโลกไง พอเวลา ผัดวันประกันพรุ่ง มันมีสิ่งใดที่มาเป็นอดีตอนาคต นี่ไง การดูอย่างนี้มันการดูแบบทางวิชาการ การดูแบบความคิดของเราไง
แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบระงับเข้ามาแล้วเป็นปัจจุบัน แป๊บๆๆ ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เป็นพระอรหันต์เลย ถ้ามันเป็นจริง ถ้ามันมีกำลังจริง ถ้ามันมีศีล สมาธิ ปัญญา มีพื้นฐาน เวลามันจริง มันจริงอย่างนั้นไง
พอมันจริงอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระหนุ่มๆ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเผยแผ่ธรรมมาอีก ๔๕ ปี นั่นน่ะเวลาเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น เพราะมันเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เหลือไว้คือ ๔๕ ปีนั้นเอาไว้เผยแผ่ธรรม เอาไว้เพื่อประโยชน์ไง นี้พิจารณาสังขารด้วยความเป็นกาย เป็นภาพของธาตุ ๔ ไง
ถ้าพิจารณาสังขารด้วยความคิด ความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขาร ความคิดต่างๆ มันคิดไป มันคิดไป มันเป็นเรื่องโลกียปัญญาทั้งนั้นน่ะ มันคิดเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารมันจะหยุด สังขารมันปล่อยวาง ปล่อยวาง เราปล่อยวาง ปล่อยวางคืออะไร
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ มันปล่อยวาง มันปล่อยวางมันเหลืออะไร ก็เหลือจิต ถ้าจิตมันปล่อยวางเข้าไปแล้ว จิตเห็นอาการของจิต จิตมันก็ต้องมาเห็นสังขาร มาเห็นความคิด ความปรุง ความแต่งมันถึงเป็นวิปัสสนา
ถ้าจิตยังไม่เห็นอาการของจิต จิตยังเริ่มต้นไม่ได้ ติดป้าย ติดป้ายเลยนะ พอความคิดแล้วติดป้ายเลย ไอ้นั่นเป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นเป็นไอ้นั่น ติดป้ายไว้หมดเลย ป้ายราคา ต่อรองได้ ถ้าไม่ถูกใจ ต่อรองราคาได้นะ ถ้าไม่ถูกใจ มันเพิ่มได้ ลดได้ นี่ติดป้าย ไม่มีความจริงสักอย่าง
ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงเป็นอริยสัจ เป็นสัจจะ มันจะติดป้ายได้อย่างไร มันเป็นความจริงของมัน ถ้าความจริงของมัน เห็นตามความเป็นจริง ถ้าเห็นตามความเป็นจริงขึ้นมา สัจธรรมมันมีหนึ่งเดียวนะ ถ้าความจริงอันนั้นถึงเป็นความจริงอันนั้นไง
ถ้าความจริงอันนั้นมันไม่เกิดขึ้นมา เวลาคนเราเกิดมามีกายกับใจนะ คำว่า “มีกายกับใจๆ” ถ้าทางวิทยาศาสตร์เขาก็พิสูจน์กันด้วยชีวิต ด้วยร่างกายของมนุษย์ ด้วยสิ่งมีชีวิตไง เวลามันพัฒนาขึ้นมามันก็มีจิตแพทย์ ความผิดปกติของจิต ความผิดปกติของความคิด ความผิดปกติของหัวใจ ความผิดปกติที่มันมีความทุกข์ความยาก พอมันเห็นผลใช่ไหม เห็นผลถึงการแสดงออก เห็นผลถึงผู้ป่วย ทางจิตวิทยาเขาถึงได้ค้นคิด เขาได้คิดขึ้นมา ไอ้นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ธรรมะละเอียดกว่านั้น ละเอียดกว่านั้นเพราะอะไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพูดถึงพระไตรปิฎกนะ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก เวลาเขาว่าอภิธรรมๆ มันมาทีหลังๆ นะ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อภิธรรมปิฎกคือวิทยาศาสตร์ทางจิต วิทยาศาสตร์ทางจิตมันต้องเป็นผู้รู้จริงแล้วมันเห็นอาการอย่างนั้น อาการอย่างนั้น แต่เราก็จะติดป้ายมันไง เราต้องเป็นอย่างนั้นๆ ไง รู้เท่ารู้ทันไปหมดนะ เป็นโลกียปัญญาทั้งหมด เป็นโลกทั้งหมด ไม่เป็นความจริงเลย
ถ้าเป็นความจริง ครูบาอาจารย์ของเรา สิ่งที่เป็นความจริง ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบเข้ามามันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนา ถ้ายกไม่เป็น อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่ไปไหนหรอก พายเรือในอ่างแล้วก็ติดป้ายๆๆ ไปเรื่อย ไม่มีความจริงเลย
ถ้ามีความจริงแล้วจบ ความจริงเป็นความจริงนะ แค่ทำสมาธิได้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แค่สมาธินั่นแหละ มันสุขมันสงบแล้วแหละ คำว่า “สุขสงบ” แล้วมันเป็นทรัพย์ไหม
คนเราไม่มีสิ่งใดเลยเป็นทรัพย์สมบัตินะ เที่ยวกู้เที่ยวยืมเขาใช้ทั้งนั้น วันใดขึ้นมา เราแสวงหา เราทำแล้วเราแสวงหา เรามีทรัพย์สมบัติของเรา เราหวงทรัพย์สมบัติเราไหม ทรัพย์สมบัตินั้นเราต้องถนอมต้องรักษา ต้องหวงต้องแหน ต้องดูแลของเรา เขาไม่ปล่อยทิ้งหรอก
ไม่มีทรัพย์มันทุกข์ยากขนาดไหน พอมันมีทรัพย์ขึ้นมามันมีความชุ่มชื่นขนาดไหน แล้วทรัพย์นั้นจะเก็บไว้ ทรัพย์นั้นก็เป็นโทษไง มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหว เรามีทรัพย์ นี่ไง พอมีทรัพย์ขึ้นมาแล้ว อู้ฮู! มีทองเท่าหนวดกุ้ง อวดรู้อวดเห็นไปหมด มันเสื่อมหมด
มีทรัพย์แล้วก็ต้องรักษาทรัพย์นั้นไว้ รักษาทรัพย์นั้นไว้ มีทรัพย์แล้ว ทรัพย์นั้นเพื่อการลงทุน เพื่อกิจการของตน นี่ไง มีทรัพย์นั้นแล้วเขาพัฒนาของเขาขึ้นมา ถ้ามีทรัพย์นั้นแล้ว คนที่มีธรรมๆ เขาหวงเขาแหน เขาดูแลรักษานะ แล้วเขาหวงเขาแหน เขาดูแลรักษาแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ บุคคล ๔ คู่ มันจะพัฒนาไปได้มากกว่านี้อีกมากมายมหาศาลไง
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มนุษย์มีกายกับใจๆ ถ้าร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมา ถ้ามีกำลังขึ้นมา เขาแสวงหาของเขาเป็นเรื่องโลกๆ
ถ้าใครมีคุณธรรม ใครคิดได้นะ โลกเราก็ทำ ทำเพราะอะไร ทำเพราะมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่จิตวิญญาณของเรานี่ล่ะ ชีวิตของเรานี่ล่ะ คุณธรรมของเรานี่ล่ะ มันแสวงหาของมัน ทำได้แล้วแต่โอกาสที่ทำได้
แต่ถ้าคนที่เขาเข้มข้นของเขาขึ้นไป วาง คนในโลกนี้ ๗,๐๐๐ กว่าล้าน เออ! เอ็งแข่งขันกันไป เราพอแล้วแหละ เรารักษาชีวิตของเราได้ เราจะแสวงหาตามความเป็นจริง เราจะปฏิบัติตามความเป็นจริง เราหาที่สงบสงัดขึ้นมา ชีวิตนี้มันเหลือกี่ปี เราจะทำของเราให้ได้จริงขึ้นมา ถ้าจริงขึ้นมา ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งมันก็แสวงหาอย่างนั้น ทำอย่างนั้น
พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่ได้อบรมตัดแต่งมาดีแล้ว บารมีสมควรแล้ว ถึงเวลา ธรรมะจัดสรรๆ ถ้ามันถึงเวลา มันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้ายังไม่ถึงเวลาขึ้นมา มันก็ระหกระเหินไปเรื่อย แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาจะเป็นความจริงของเรานะ ถ้าเป็นความจริงของเรา
ฟังธรรมๆ ตอกย้ำเข้ามาที่ใจของเรา ธรรมะเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสดงธรรมนั้นก็ประสบการณ์ของท่าน แต่ความคิดของเรา ความนึกคิดของเรามันเปลี่ยนแปลงหัวใจของเรา มันเปลี่ยนชีวิตเราให้ถึงที่สุด มันเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้ดีขึ้น แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะให้ชีวิตนี้หมดสิ้นไปโดยไม่ได้ประโยชน์กับการเกิด การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
แต่ถ้ามันมีประโยชน์ๆ ขึ้นมา เกิดมาแล้วสร้างคุณงามความดี อำนาจวาสนาบารมีตัดแต่งให้มันดีขึ้น ถ้ายังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ มันก็จะพัฒนาให้ดีขึ้น พัฒนาให้ดีขึ้น ในการปฏิบัติต่อไปข้างหน้ามันจะประสบความสำเร็จ เอวัง